วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความสำคัญของสีแต่ละประเภท

เรื่องของบ้านสีทาบ้านก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ้านดูสวย และไม่ใช้เรื่องง่าย ที่ใครชอบสีอะไรก็เอาสีนั้นHomebaanไม่ คิดว่ามันจะง่ายแบบนั้นนะ เพราะบางที่เราทาสีบ้านทีเราเลือกแล้วแต่ได้สีไม่สวยอย่างที่คิดไว้ ก็ต้องมานั้งเสียใจที่หลังปัจจุบันนี้เค้ามีเทคโนโลยีการผสมสี ซึ่งสามารถผสมสีออกมาเป็นร้อยเฉดเลยล่ะเมื่อมันมีสีให้เลือกเยอะ ก็ยิ่งทำให้ตัดสินใจอยากมากขึ้น ดังนั้นHomebaanจึงนำเอาความหมายของสีหรือเรียกว่า"ภาษาสี"มาเป็นเกณฑ์ให้คุณได้ตัดสินใจกัน






สีดำ:
  • บางคนอาจจะบอกว่า "ใครจะบ้าทาสีบ้านเป็นสีดำ" คุณไม่จำเป็นต้องทาสีดำทั้งหลังคุณอาจจะทาเพียงบางส่วน หรือบ้างจุด ที่คุณคิดว่า เมื่อทาสีดำลงไปแล้วมันสวยและเท่ทำให้บ้านดูมีอิสระ เพราะความหมายของสีดำคือความเป็นอิสระ วินัย อำนาจ พลัง

สีขาว:
  • คุณจะเห็นได้ว่า บ้านเรือนส่วนใหญ่จะใช้สีขาวทาบ้านทั้งหลัง ไม่ทาภายนอกก็ทาภายใน บ้านที่ทาสีขาวจะดูง่ายๆ และสบายตา เพราะความหมายของสีขาวคือความบริสุทธิ์และยังช่วยเสริมให้สีอื่นมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

สีน้ำเงิน:
  • เมื่อก่อนหายากที่ใครจะทาบ้านสีน้ำเงิน แต่ปัจจุบันนี้เริ่มมีบ้านหลายหลังที่ทาสีบ้านเป็นสีน้ำเงิน อาจจะเพราะว่าไม่อยากเหมือนใคร หรืออยากให้บ้านดูโดดเด่นและอาจะเพราะความชอบของเจ้าของบ้านก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามมันทำให้ดูสดชื่นเพราะความหมายของสีน้ำเงินคือสงบสดชื่น เย็น รู้สึกสงบ พักผ่อน

สีชมพู:
  • ใครๆ ก็ทราบว่ามันคือ สีแห่งความรัก แต่ไม่ต้องมีความรักก็ได้แค่คุณชอบสีนี้ก็สามารถใช้สีนี้ทาบ้านของคุณก็ได้ เพราะความหมายของสีชมพูคือความสงบ ความสุภาพ อ่อนโยน ความรักเสน่หา

สีเหลือง:
  • สีนี้ก็เป็นที่นิยมพอๆ กับสีขาว เพราะมันทำให้บ้านดูส่วางขึ้น ไม่ดูเศร้าเพราะความหมายของสีเหลืองคือความชื่นบาน ความยินดีและความสนุกสนาน

สีส้ม:
  • บ้านสีส้มก็เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เพราะความแปลกใหม่ของสี และความคิดใหม่ๆในสังคมปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นบ้านสีนี้เกิดขึ้นมากมาย ความหมายของสีส้มคือความยินดี ความเด็ดขาด การเจริญเติบโตการพูดคุย

สีแดง:
  • สีนี้ก็มีบางบ้านที่ใช้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ทาเป็นบ้างจุด บ้างที่เท่านั้นความหมายของสีแดงคืออำนาจ แข่งขันความหลงใหล และเซ็กส์

สีเขียว:
  • หลายๆ หมู่บ้าน หรือหลายๆ โครงการก็มีการนำเอาสีเขียวมาใช้ เพราะสีเขียวหมายถึงความสมดุล ความสดชื่นและยังมีผลทางด้าน ความรู้สึกทางอารมณ์ ของผู้อยู่อาศัย

- สีแต่ละสีที่Homebaanแนะนำ ก็ยังสามารถแยกออกไปอีกหลายเฉดสี คุณสามารถใช่สีอ่อนหรือสีแก่ได้ตามความต้องการ และตามความเหมาะสม

บ้านเก่า หรือบ้านใหม่ก็สวยได้เพราะการทาสีบ้าน จริงไหม ดังนั้นวันนี้Homebaanจะแนะนำวิธีทาสีบ้านให้ เพื่อนๆได้ลองทำกันดู แล้วคุณจะรู้ว่าไม่อยากเลย แม้แต่ แม่บ้านอย่างคุณก็ทำได้ไม่ต้องจ้างใครให้เสียเงิน ถ้าทุกคนในบ้านช่วยกันก็ยิ่งดีเพราะครอบครัวจะได้มีกิจกรรมกันภายในบ้าน


สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนลงมือทาสีบ้านคือ
- อุปกรณ์ในการทาสีบ้าน

แปรงทาสี :

  • แปรงทาสีบ้าน มีให้เลือกหลายขนาด ก็ให้คุณเลือกใช้ให้เหมาะสมไม่เช่นนั้นแล้วมันจะเลอะ คือถ้าพื้นผิวที่เราจะทากว้าง ก็ใช้แปรงใหญ่หน่อยแต่ถ้าพื้นที่แคบก็ใช้แปรงเล็กลงมาให้ดูเหมาะกับพื้นที่
ภาชนะผสมสี :
  • สิ่งนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน อย่าเป็นพลาสติกบางนะ ถ้าสีของคุณต้องผสมทินเนอร์เช่น สีน้ำมัน แต่ถ้าเป็นสีน้ำก็ไม่มีปัญหา
ลูกกลิ้ง :
  • ถ้าพื้นที่ในการทาสีกว้างมาก เช่น ผนังบ้าน เราก็ควรใช้ลูกกลิ้งเพราะจะทำให้ทาเร็วขึ้น และได้สีที่เรียบเสมอกัน แล้วตามขอบ ตามมุมเราค่อยใช้แปรงเก็บสีให้เรียบร้อย


- การเตรียมพื้นผิว
ปูน :

  • ถ้าพื้นผิวที่เราจะทาสี เป็นปูนใหม่ก็รอให้แห้งสนิดก่อนหลังจากนั้นเราก็เอากระดาษทรายลูบ(ลูบนะ ไม่ใช่ขัด) เพื่อเอาเม็ดทรายหลุดออกแล้วเราก็ลงสีรองพื้นได้เลย และตามด้วยสีจริง แต่ถ้าเป็นปูนเก่าเราก็ขัดทำความสะอาดพื้นผิวที่เราจะทาเสียก่อน แล้วก็ลงสีรองพื้นและตามด้วยสีจริงอีก 2 ครั้ง เป็นอันว่าสวยแล้ว
ไม้ :
  • ถ้าพื้นผิวเป็นไม้ เราควรขัดด้วยกระดาษทราย แล้วปัดฝุ่นผงไม้ออกให้หมดแล้วถ้าสีรองพื้นกันเชื้อราก่อน แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วค่อยทาสีจริงลงไปอีก 2 ครั้ง การทาสีไม้นั้น เราต้องรอให้แห้งก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะทาครั้งต่อไป
โลหะ :
  • ถ้าพื้นผิวเป็นโลหะ ควรทาสีรองพื้นกันสนิมก่อน แต่ถ้าเริ่มจะเป็นสนิมหรือเป็นเพียงเล็กน้อย ก็ให้เอากระดาษทรายขัดเสียก่อน แล้วค่อยทาสีกันสนิมและทาสีจริงทับลงไป

Homebaanก็ทาสีบ้านด้วยตัวเองเช่นกัน มันสนุกมาก ทำให้บ้านเราดูใหม่อยู่เสมอ เพื่อนๆทุกคนทำได้แน่นอนเราเชื่อ แล้วเรื่องการเลือกสี ก็แล้วแต่เราชอบเพราะบ้านของเราแต่ก็อิงเพื่อนบ้านนิดหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ เดี๋ยวบ้านเรามันจะเด่นเกินไป แต่ถ้าไม่สนใจใครก็เชิญทาสีที่เราชอบได้เลยครับพี่น้อง...

สีน้ำอะครีลิคหรือสีน้ำพลาสติก
เป็นสีที่ ใช้ทาภายนอก และทาภายในโดยสีสำหรับทาภายนอกจะมีราคาสูงกว่าสีทาภายใน แต่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและทนทานต่อเชื้อรา ตะไคร่น้ำ หรือความเป็นด่างของพื้นผิวได้ดี ให้ความคงทนสวยงามมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
เหมาะ สำหรับอาคารพื้นผิวปูน ปูนฉาบ คอนกรีต งานก่ออิฐกระเบื้องแผ่นเรียบ อิฐ หรือพื้นผิวอื่นๆที่มีลักษณะเดียวกัน แนะนำใช้สำหรับ อาคารคอนโดมิเนียม โรงงาน ที่ต้องการความคงทนเป็นพิเศษ

สีน้ำมัน
การ ใช้สีน้ำมันมักจะใช้ในการรักษาเนื้อไม้ในการทาสีบ้านหรือในการทาสีสิ่งที่ ต้องทนกับสภาวะอากาศเช่นเรือหรือสะพานเพราะคุณสมบัติที่ทนทานและเป็นเงาทำ ให้เป็นที่นิยมใช้กันทั้งในการตกแต่งภายในและภายนอกทั้งที่ใช้บนไม้และบน โลหะ เพราะเป็นสีที่แห้งช้าการแห้งช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับความหนาของสีที่ทา

สีย้อมไม้
การ ใช้งานเหมาะสำหรับใช้กับงานไม้ภายนอกและภายในทุกประเภท เช่น วงกบ ประตู หน้าต่าง เชิงชายฝ้าระแนง บัว จั่ว ศาลา รั้วบ้าน ผนัง ราวบันได เฟอร์นิเจอร์สนามเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน บ้านทรงไทย และล็อกโฮม เป็นต้น

สีชนิดทาภายนอกอาคาร

  • คือ สีที่จะทาในส่วนภายนอกอาคารทั้งหมด ที่มีการระบุให้ทาสีรวมทั้งพื้นผิวส่วนที่เปิดสู่ภายนอก หรือพื้นผิวส่วนที่จะได้รับแสงแดดโดยตรงจากภายนอกได้ ให้ทาด้วยสีประเภทอาคิลิค (Pure Acrylic Paint )โดยทำการทา 3 เที่ยว ในการทาสีทุกชนิดโดยเฉพาะสีทาภายนอกนั้นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการเตรียม พื้นผิวสำหรับการทาสีนั่นเอง เพราะกว่า 80 % ของการวิบัติของสี เกิดมาจาก การเตรียมพื้นผิวไม่ดี ก่อนการทาสีนั้น ต้องให้แน่ใจว่าพื้นที่จะทานั้น แห้งสนิท ไม่มีสภาพ เป็นกรดด่าง หรือมีฝุ่นเกาะ ควรเป็นผนังที่ฉาบเรียบ ไม่มีรอยแตกให้เห็น หากมีต้องทำ การโป๊วปิดรอยต่อ เสียให้เรียบร้อยก่อน การทาสี โดยปรกติ การทาสีทุกประเภทจะทาประมาณ 2 – 3 รอบและ ไม่ควร ทาสีเกิน 5 รอบ เพราะจะทำให้ชั้นของสี มีความหนาเกินไป และหลุดร่อนได้ง่าย

สีน้ำพลาสติกทาภายใน
  • คือ สีที่จะทา ส่วนภายในอาคาร เช่น ผนังฉาบปูนพื้นผิว ยิปซั่มบอร์ดกระแผ่นเรียบ หรือส่วนอื่นๆ ที่ระบุให้ทา ด้วยสีพลาสติก ( ทา 2-3 เที่ยว )ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำสีภายในใช้ทาผนังภายนอก เนื่องจากสีภายใน ไม่ทนแดดทนฝนทำให้สี หลุดร่อนได้ง่ายที่คิดว่ามีราคาถูกกว่าสีทาภายนอกตั้งแต่แรกก็จะกลายเป็น แพงกว่าขึ้นมาทันทีแถมยังเสียเวลาเสียความรู้สึกอีกด้วย เวลาสีหลุดล่อนแตกลายงาส่วนในผนังที่จะทาสีน้ำมันต้องสะอาด แห้ง และสิ่งที่สำคัญมากคือต้องไม่มีความชื้นเพราะ ความชื้นที่มีอยู่ ภายใน หากทาสีแล้วชั้นของสีน้ำมันจะทับทำให้ระบายอากาศไม่ได้และจะทำให้เนื้อสีพอง บวมออกมาได้ชัดเจนมากกว่าสีน้ำ หรือ สีอาคิลิค (Acrylic) สีในแต่ละส่วนของบ้านไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายใน หรือส่วนอื่นของบ้านย่อมมีรายละเอียดของสีที่ทาแตกต่างกัน 



จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม

เทคนิคการเลือกสีทาบ้าน

 
เทคนิคการเลือกสีทาบ้านเทคนิคการเลือกสีทาบ้าน

ประเภทของสีทาบ้าน

แบ่งตามพื้นผิวของวัสดุที่จะทาสีดังนี้

1. สีน้ำอะครีลิค หรือ สีน้ำพลาสติก เป็นสีที่ใช้ทาผนังปูนหรือ คอนกรีต ผ้าเพดาน ที่ทั้งประเภทที่ใช้ทาภายนอก และทาภายใน โดยสีสำหรับทาภายนอกจะมีราคาสูงกว่าสีทาภายใน แต่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า
2. สีน้ำมัน เป็นสีที่ใช้สำหรับทาเหล็ก และไม้
3. สีย้อมไม้ เป็ฯสีที่ใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ ทำให้เนื้อไม้มีสีที่เราต้องการ
4. สีเคลือบไม้ เป็นสีที่ใช้ทาพวกไม้ต่างๆ ให้เห็นลายธรรมชาติของไม้ เช่น พวกเล็คเกรอ์ เชลแล็ก เป็นพวกรักษาเนื้ือไม้
5. สีกันสนิม  เป็นสีที่ใช้ทาเหล็ก จะทารองพื้นเพื่อกันสนิมก่อนทาสีจริง
6. สีรองพื้นผิวปูนใหม่หรือ ผิวปูนใหม่ หรือผิวปูนเก่า เป็นสีที่ใช้สำหรับเตรียมพื้นผิว ลดความเป็นกรด หรือด่างของผิวปูน ทำให้การยึดเกาะเมื่อทำการทาสีจริง หรือสีทับหน้าดียิ่งขึ้น

ส่วนประกอบของสีทาบ้าน

โดยทั่วไปจะประกอบด้วย

1. สารยึดเกาะหรือ อะครีบิคซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสี
2. ผงสีซึ่งจะทำให้เกิดความสวยงาม
3. ตัวทำละลายซึ่งจะเป็นตัวทำละลายทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน
4. สารปรุงแต่งต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับปรับปรุงคุณภาพสี เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา

เกรด หรือคุณภาพของสีทาบ้าน

โดยทั่วไปจะแบ่งเกรด หรือคุณภาพของสีดังต่อไปนี้

เกรด A เป็นสีที่มีอะครีลิค 100% ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากทางยุโรป การรับประกันจะอยู่ประมาณ 5-10 ปี มักใช้ทาภายนอก โดยเฉพาะอาคารสูง หรือบ้านที่มีราคาแพง
เกรด B เป็นสีที่มีอะครีลิค 100% ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากทางแถบเอเซีย การรับประกันะอยู่ประมาณ 3 -5 ปี มักใช้ทาภายนอก หรือ ภายใน
เกรด  C เป็นสีที่การผสมสารปรุงแต่ง 30% และมีอะครีลิค  70%  การรับประกันจะอยูที่ประมาณ 1 – 2 ปี มักใช้ทั้งทาภายนอก และภายใน
เกรด  D จะเป็นสีที่มีการผสมสารปรุงแต่งมากกว่า 30%

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม

จิตวิทยากับสีทาบ้าน

 จิตวิทยากับสีทาบ้าน

 • สีสันต่าง ๆ ภายในบ้านมีผลต่ออารมณ์ของความรู้สึกของเราได้จริงๆหรือ
เรื่อง นี้มีข้อพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นความจริง ถามว่าสาเหตุอะไรจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เพราะพฤติกรรมของคนมีส่วนมาจากสภาพแวดล้อม ประสบการณ์และจิตวิทยาบนพืานของผลกระทบจากสีที่เรารับเข้ามาจากภายนอกผ่าน ทางลูกนัยน์ตา เมื่อรับสีที่แตกต่างกัน การรับรู้จากสายตาจะกระตุ้นปฏิกิริยาในสมองอย่างฉับพลัน จึงทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป
ทีนี้ลองมาดูว่าจะมีวิธีการใช้สีในโทนต่างๆ ให้เหมาะกับการใช้งานได้อย่างไรบ้าง


เริ่มจากสีโทนเย็น อย่างเช่น ...
สีฟ้าอ่อนและเขียวอ่อนจะช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้านมีความเงียบสงบ เหมาะกับห้องที่ต้องการความสงบอย่างเช่นห้องนอน

ส่วนสีชมพูเหมาะสำหรับทาสีห้องของเด็กเพราะจะช่วยกระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และความแข็งแรงของร่างกาย
ถ้าเด็กที่ขี้ตื่น ตกใจง่ายควรใช้สีฟ้า จะทำให้เด็กรู้สึกสงบลง

ถ้าเป็นผนังบ้านถ้าใช้สีขาวหรือสีโทนอ่อนเพียงสีเดียว จะช่วยให้ห้องขนาดเล็กดูกว้างขึ้นและให้ความรู้สึกเย็นลงในหน้าร้อนอีกด้วย

สำหรับในห้องนั่งเล่นหรือห้องโฮมเธียร์เตอร์นั้น อาจใช้สีม่วงอ่อนซึ่งช่วยเร้าจินตนาการหรือสีเหลืองอ่อนเพื่อกระตุ้นจิตใจให้สดชื่นและมีความกระตือรือร้น เพื่อให้คนในบ้านเกิดกิจกรรมร่วมกันมากขึ้นก็ได้


สำหรับ สีโทนร้อน อย่างสีเข้มๆ ควรใช้ในห้องที่ต้องการบรรยากาศร่าเริงสดใส เช่นห้องที่เด็กๆ ชอบเล่นกันหรือห้องครัว แต่ควรต้องใช้สีกลางๆ ลดความเข้มของสีลงบ้าง เพราะจะไปกระตุ้นร่างกายให้ทำงานเร็วเกินไป

ตัวอย่างเช่น ในร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด นิยมใช้สีแดงเป็น ส่วนมากเพราะสีแดงมีผลที่ไปกระตุ้นต่อมน้ำลายทำให้เรารู้สึกหิวและทำให้สาย ตาของเราล้า ทำให้เพิ่มความหิวมากยิ่งขึ้น แต่ร้านอาหารบางแห่งมักจะใช้สีส้มหรือสีพีชอ่อนๆ กับผนังหรือผ้าม่านเพราะเป็นสีที่ให้ความรู้สึกต้อนรับขับสู้และสดใสขึ้น

สีเหลืองเหมาะกับบ้านที่ต้องการความสดใส สว่างและเยือกเย็น เพราะเข้าได้กับวัสดุตกแต่งหลายชนิด ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป

สีส้มให้ ความรู้สึกอบอุ่นสดใสแต่ไม่ร้อนแรงจนเกินไป จึงนิยมใช้ในส่วนที่เป็นของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้ โซฟาที่เป็นผ้าหรือสิ่งทอรวมทั้งใช้เป็นสีของชุดเครื่องครัว สีที่เข้ากันกับสีส้มได้ดีคือสีขาวควันบุหรี่และสีเทาอ่อนๆ

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับสีทาบ้าน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับสีทาบ้าน
ข้อควรรู้เกี่ยวกับสีทาบ้าน
ปัจจุบันนี้ผู้อยู่อาศัยจำนวนไม่น้อยมักจะนิยมตกแต่ง-ปรับปรุงที่พักอาศัยด้วยตัวเอง
รวมถึงการทาสีเพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านไม่ให้น่าเบื่อด้วยตัวเอง
แต่การเลือกซื้อสีมาใช้งานนั้นควรเลือกประเภทของสีให้ตรงกับวัสดุที่จะทาทับด้วย
โดยทั่วไปส่วนประกอบของสีจะมีอครีลิค(สารยึดเกาะ) เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดในเนื้อสี
นอกเหนือจากนั้นก็จะมีผงสี, ตัวทำละลาย และสารสังเคราะห์ต่างๆ ที่ใช้เพิ่มคุณภาพสี เช่น สารกันเชื้อรา เป็นต้น
คุณภาพสีเองก็แบ่งออกได้หลายระดับ เช่นสีอะครีลิคที่นำเข้าจากยุโรป จะถือเป็นสีที่มีคุณภาพระดับเกรด A
เนื่องจากเป็นสีอะครีลิค100% มีการรับปรกันที่ยาวนาน5-10 ปี แต่ก็มีราคาสูง จึงมักใช้ในงานทาสีอาคารสูง หรือที่พักอาศัยราคาแพง
ส่วนสีเกรด B คือสีอะครีลิค100% ที่มีจำหน่ายในเอเชีย โดยสีอะครีลิคเกรดบีนั้น จะมีระยะเวลารับประกันอยู่ที่3-5 ปี
ส่วนมากใช้เป็นสีทาภายในหรือภายนอกที่พักอาศัยธรรมดา
ส่วนสีที่มีการผสมสารต่างๆ ลงไป จะจัดอยู่ในเกรดซี และดี สีอยู่ในเกรดC นั้น จะมีอัตราส่วนสารอื่นๆ30% และอะครีลิค70%
มีการรับประกันเพียงแค่1-2 ปีเท่านั้น ในขณะที่สีเกรด D คือสีมีส่วนผสมของสารอื่นมากกว่า30% ขึ้นไป
สำหรับการใช้งาน เราต้องเลือกสีให้ตรงกับวัสดุที่จะทาทับ โดยประเภทของสีจะถูกแบ่งตามวัสดุที่ใช้ทาทับ เช่น
สีน้ำอะครีลิค ใช้สำหรับทาผนังปูน และคอนกรีต มีทั้งประเภทที่ใช้ทาภายนอกและภายใน
โดยสีทาภายนอกจะมีราคาสูงกว่า เนื่องจากทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า
สีน้ำมัน เป็นสีที่ใช้สำหรับทางานไม้และเหล็ก
สีย้อมไม้ มักจะใช้กับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนสีไม้ให้เเป็นสีที่เราต้องการ
สีเคลือบไม้ จัดอยู่ในประเภทรักษาเนื้อไม้ เช่น แลคเกอร์ต่างๆ ใช้ทาเคลือบไว้เพื่อให้เห็นลวดลายบนเนื้อไม้
สีกันสนิม ใช้สำหรับทารองพื้นวัสดุที่เป็นเหล็ก เพื่อกันสนิมก่อนจะลงสีจริงทับ
สีรองพื้น สำหรับผิวปู่น เป็นสีที่ใช้รองพื้นผิวปูนก่อนทาสีจริงทับ เพื่อช่วยให้สีจริงที่ทาทับลงไปนั้น ยึดเกาะ กับพื้นผิวได้ดีขึ้น

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม 

หลักการทำงานของสี

การเลือกสีที่เหมาะสมยังทำให้รูปร่างและขนาดของห้องเปลี่ยนแปลงเช่นการ เลือกใช้สีสว่างจะทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และสียังถูกใช้ในการปรับปรุงพื้นผิวให้ดีขึ้นเช่นทำให้ผิวเป็นมันวาว และทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย เราแบ่งสีทาบ้านตามลักษณะของการใช้งานเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือสีน้ำมัน หรือที่เรียกกันว่าสีเคลือบเงา เป็นสีที่เราต้องเติมน้ำมัน หรือทินเนอร์ลงไปก่อนใช้ เพื่อให้สามารถทาได้ง่าย ส่วนใหญ่เราจะใช้สีประเภทนี้สำหรับทาไม้ หรือเหล็กให้เงางาม ส่วนสีอีกประเภทหนึ่งเป็นสีทาบ้านสูตรน้ำ ซึ่งต้องเติมน้ำลงไปผสมก่อนการใช้งานเพื่อลดความหนืดของสี ปัจจุบันสีทาบ้านสูตรน้ำเป็นที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปและมีหลายชนิดให้เลือก ใช้ เช่นสีทาภายนอก สีทาภายใน สีด้าน สีเงา และสีกึ่งเงา ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งสมบัติการใช้งานและราคา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนขององค์ประกอบต่างๆหรือสูตรที่ใช้ในการผลิตสี



องค์ประกอบของสี

                   สีส่วนใหญ่ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วนคือ ตัวเชื่อมประสาน (binder) ของเหลวตัวพาที่ระเหยได้ดี (volatile substance) ผงสี (pigment) และสารเติมแต่ง (additive)



ตัวเชื่อมประสาน ในสีส่วนใหญ่มักเป็นโพลิเมอร์ สารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลยาวคล้ายเส้นสปาเกตตี้ ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักให้กับสี โพลิเมอร์ที่นิยมใช้เป็นตัวเชื่อมประสานในสีน้ำสำหรับทาบ้านคือโพลิเมทธิล เมทธาคริเลท หรือพีเอ็มเอ็มเอ (poly(methyl methacrylate); PMMA)

                       
                                 

                   PMMA เป็นโพลิเมอร์ที่ได้จากการสังเคราะห์แบบฟรีแรดดิคัล โดยใช้เมทธิล เมทธาคริเลท (methyl methacrylate) เป็นโมโนเมอร์ PMMAนี้จะทำหน้าที่เป็นฟิล์มพลาสติกที่มีสมบัติแข็ง เหนียว ใส และเป็นมันวาวเคลือบอยู่บนพื้นผิวของวัสดุ ทำให้พื้นผิววัสดุมีความสวยงามและทนต่อสภาพแวดล้อม ในบางครั้งเราจึงเรียกสีน้ำประเภทนี้ว่าสีน้ำพลาสติก หรือสีอะคริลิค





                    ของเหลวตัวพาที่ระเหยได้ดี เป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่ลดความหนืดของสี ทำให้ใช้งานได้ง่าย และระเหยออกภายหลังจากการทาทำให้สีแห้ง แบ่งเป็น 2 ชนิดคือน้ำ และตัวทำละลายอินทรีย์ แต่ชนิดหลังมักก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อระบบหายใจของผู้ใช้ และติดไฟได้ง่าย ในการเก็บรักษาและใช้งานจะต้องห่างจากเปลวไฟ ดังนั้นในปัจจุบันนี้สีที่มีน้ำเป็นของเหลวตัวพาจะปลอดภัย และเป็นที่นิยมมากกว่า


 

                   ผงสี มีลักษณะเป็นผงละเอียด อาจเป็นสารอินทรีย์หรืออนินทรีย์ก็ได้ เป็นสารให้สี ทำให้เกิดสีสรรสวยงาม และเพิ่มความแข็งให้กับชั้นสี  ก่อนการใช้งานสีเหล่านี้จะแขวนลอยอยู่ในสี และจะติดอยู่ภายใต้ชั้นฟิล์มของโพลิเมอร์ภายหลังจากที่สีแห้ง ตัวอย่างผงสีที่มักใช้เติมในสีทั่วไปคือ TiO2  ซึ่งเป็นผงสีขนาด 0.22 ไมครอนที่ทำให้สีมีสีขาว และทึบแสง สำหรับสารเคลือบผิวบางชนิดที่ไม่มีเม็ดสีเป็นส่วนประกอบเช่น วานิชหรือสีเคลือบเงา ทำให้ไม่เกิดสีสรรสวยงามภายหลังจากการใช้งาน จึงทำหน้าที่ป้องกันพื้นผิว และง่ายต่อการทำความสะอาดเท่านั้น


 

                   สารเติมแต่ง เป็นสารที่ช่วยทำให้องค์ประกอบทั้ง 3 ที่กล่าวมาข้างต้นทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดเป็นผิวเคลือบที่ เรียบสม่ำเสมอและดูสวยงาม สารเติมแต่งบางตัวทำหน้าที่ป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเม็ดสี และตัวเชื่อมประสาน ป้องกันไม่ให้สีแข็งตัวเมื่อถูกเก็บหรือใช้ในที่เย็นจัด และยังอาจเป็นสารป้องกันเชื้อรา ต้านทานแสงยูวี หรือเป็นสารที่เติมลงไปเพื่อใช้แทนส่วนประกอบอื่นที่มีราคาแพง ทำให้สีมีราคาถูกลง





หลักการทำงานของสี

                      

                   เมื่อเราทำการทาสีน้ำลงบนพื้นผิววัสดุเช่นผนังบ้าน น้ำจะเริ่มระเหยออก ทำให้โมเลกุลของโพลิเมอร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้กันมากขึ้นจนเกิดการพันกัน ระหว่างสายโซ่โพลิเมอร์ขึ้น เมื่อน้ำระเหยออกจนหมด การพันกันของสายโซ่จะเริ่มแน่นขึ้น เกิดเป็นเป็นชั้นฟิล์มบางๆเคลือบทับเม็ดสีให้ติดแน่งบนพื้นผิวของวัสดุที่ ถูกทา


เจาะลึกการทำงานของโพลิเมอร์ในสี


                                    

                   PMMA เป็นโพลิเมอร์มีสมบัติแข็ง เหนียว ใสและเป็นมันวาว เมื่อถูกผสมเป็นส่วนประกอบของสีจึงทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมประสาน ทำให้สีมีพื้นผิวที่แข็ง เหนียว และเป็นมันวาว แต่ PMMA เป็นโพลิเมอร์ที่ไม่ละลายน้ำ การผลิตสีน้ำทาบ้านเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะต้องทำให้อนุภาคของ PMMA และผงสีแขวนลอยไม่ตกตะกอนหรือรวมตัวเป็นก้อนในขณะที่เก็บสีไว้ในกระป๋อง และต้องป้องกันไม่ให้เกิดการแยกชั้นของสี ในการผลิตสีประเภทนี้จึงต้องมีการเติมสารที่เรียกว่าอิมัลสิฟายเออร์ (emulsifier) ลงในถังสี

                   หรืออีกทางเลือกหนึ่งสามารถทำได้โดยสังเคราะห์โคโพลิเมอร์ของไวนิลอัลกอฮอล์ กับไวนิลอะซิเทต หรือ poly(vinyl alcohol-co-vinyl acetate) ทำให้มีหมู่อัลกอฮอล์ (-OH) ซึ่งมีสมบัติชอบน้ำ ทำให้ละลายน้ำได้ดี ในขณะที่หมู่อะซิเทต (COOCH3) มีสมบัติไม่ชอบน้ำ จึงละลายน้ำได้ไม่ดี ดังนั้นเมื่อเราเติมโคโพลิเมอร์นี้ลงในน้ำ โพลิเมอร์จะจับตัวกันเป็นก้อนกลมๆคล้ายลูกบอล โดยมีหมู่อัลกอฮอล์ชี้ออกจากลูกบอล เนื่องจากมีน้ำอยู่ล้อมรอบ ในขณะที่หมู่อะซิเทต ก็ซ่อนตัวอยู่ภายในลูกบอล ตามโครงสร้างที่แสดงไว้ด้านล่าง เนื้อที่ภายในลูกบอลจึงเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับ PMMA ที่จะเข้าไปอยู่ ดังนั้นการเติมโคโพลิเมอร์จึงช่วยให้ PMMA แขวนลอยอยู่ในสีได้

                

                              


                   จากที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าสีทาบ้านมีความแตกต่างกันทั้งสมบัติการใช้งาน และราคา ขึ้นอยู่กับสูตรที่ใช้ในการผลิตสี เช่นถ้าเราเพิ่มสัดส่วนที่เป็นตัวเชื่อมประสาน เมื่อสีแห้งจะเกิดชั้นฟิล์มพลาสติกที่มีความเรียบสม่ำเสมอครอบคลุมผงสี ทำให้สีติดสีบนพื้นผิวได้ดี ทนทานต่อการขัดถู ขูดขีด และเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย สีสูตรนี้จะเพิ่มความเงางามให้กับพื้นผิววัสดุเนื่องจากมีพื้นผิวที่เรียบ จึงทำให้เกิดการสะท้อนของแสงที่ตกกระทบพื้นผิวในทิศทางเดียวกัน เราจัดสีประเภทนี้ว่าสีเงา หรือกึ่งเงาทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของตัวเชื่อมประสานที่เพิ่มขึ้นในสูตร การผลิตสี สีประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้ทาผนังห้องครัว และ ห้องเด็กเล็กที่มักเกิดคราบสกปรก และต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ

                                                             

                   ในขั้นตอนการผลิตสีหากเราเพิ่มสัดส่วนของผงสี  และลดปริมาณของตัวเชื่อมประสาน เมื่อสีแห้งจะพบว่าชั้นฟิล์มบางที่เกิดจากตัวเชื่อมประสานไม่เพียงพอที่จะ คลอบคลุมผงสีได้ทั้งหมด ทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆภายในชั้นสี  ผิวของสีมีความขรุขระไม่เรียบสม่ำเสมอ เมื่อแสงตกกระทบพื้นผิวดังกล่าวจะทำให้เกิดการสะท้อนกลับในทิศทางที่แตกต่าง กัน ทำให้เห็นเป็นพื้นผิวที่ด้านไม่เป็นมันวาว ช่วยลดการสะท้อนของแสง นอกจากนี้ช่องว่างที่อยู่ภายในชั้นสีอาจเป็นที่สะสมของคราบสกปรก และฝุ่นละอองทำให้ยากต่อการทำความสะอาด  สีประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้ทาผนังภายในบ้าน ห้องนอน และฝ้าเพดานที่ไม่มักไม่สกปรกจนต้องทำความสะอาดเป็นประจำ




                                  

                   สำหรับสีทาภายนอกจำเป็นต้องทนทานต่อแสงแดด ฝน และสิ่งสกปรก มักมีส่วนผสมของตัวเชื่อมประสานสูงเพื่อให้ติดทนนาน และมีสารเติมแต่งที่มีสมบัติป้องกันเชื้อรา ต้านทานแสงยูวีจึงมักมีราคาแพงกว่าสีทาภายใน

                   ถ้าเรามีความรู้สักนิดเกี่ยวกับสี ช่างทาสีคงไม่สามารถหลอกใช้สีไม่ถูกประเภท เช่นเอาสีทาภายในราคาถูก มาทาผนังด้านนอกของบ้านเรา ก็จะทาสีบ้านทั้งทีนี่น่า นอกจากจะเลือกสีที่ถูกใจได้แล้ว ต้องเลือกให้ถูกงานด้วย บ้านของเราจะได้มีสีสวยสดใส สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าของบ้านไปได้นานๆ

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม 

การเลือกใช้สีผนังบ้านกับสีทาบ้าน

ผนังบ้านกับสีทาบ้านและการเลือกใช้สี

สีทาผนังบ้าน
สำหรับผนังปูนก็จะนิยมใช้สีน้ำพลาสติกที่มีส่วนผสมของอะคลีลิค 100%
หรือที่เราเรียกกันว่าสีน้ำอะคลีลิคนั่นเอง มีทั้งชนิดด้านและแบบกึ่งเงา

สีด้านจะดูสะอาด กระจ่างแต่ไม่กระจายแสง สีนวลใสแต่จะสกปรกง่าย

สีกึ่งเงาจะดูนวลเมื่อโดนแสงไฟหรือแสงแดด
เช็ดทำความสะอาดได้ เงาเล็กน้อย ลูบดูจะลื่นมือ ฝุ่นจะไม่ค่อยจับผนัง


การทาสีผนังต้องมีการเตรียมพื้นผิว ดังนี้
- ลอก ขูด หรือขัดทำความสะอาดสีเก่าออกให้หมดก่อน
- ใช้กระดาษทรายบางขัดเบาๆ แล้วปัดฝุ่นออกให้หมด บางทีก็สามารถใช้น้ำฉีดได้
- ทาสีรองพื้นปูนเก่า สำหรับบ้านที่สร้างมานานกว่าห้าปี
- สีรองพื้นปูนเก่าจะออกใส ๆ ทารองพื้นรอบหรือสองรอบแล้วแต่พื้นผิว
- ทาสีรองพื้นปูนใหม่ สำหรับบ้านที่สร้างมาไม่ถึงห้าปี สีรองพื้นปูนใหม่จะออกสีขาว
- ทาสีจริงอย่างน้อยสองรอบแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง


สำหรับผนังไม้หรือส่วนที่สร้างจากไม้
ถ้าจะให้ทนทานรักษาง่ายก็มักทาด้วยสีน้ำมัน หรือเป็นสีทาไม้โดยตรง
ซึ่งจะทาด้วยสีย้อมไม้ตามชอบก่อนแล้วจึงทาสีเคลือบเนื้อไม้อีกที
สีทาไม้จะมีส่วนผสมที่จะรักษาเนื้อไม้ให้ปราศจากปลวก กันความชื้นและกันเชื้อรา

วิธีการทาสีไม้ ก็เริ่มจากการขัดเอาสีเก่าออกให้หมดแล้วทาสีย้อมไม้สองรอบ
จากนั้นทาสีเคลือบทับให้เงาและเป็นการป้องกันเนื้อไม้ด้วย

สำหรับส่วนที่ทำด้วยเหล็ก
จะใช้สีน้ำมันทา อันนี้ต้องทารองพื้นด้วยสีกันสนิมก่อนแล้วทาสีจริงตามชอบ

วิธีทาสีเหล็กประตูหรือเหล็กดัด
ก็เริ่มจากการลอกสีเก่าออก ให้ใช้น้ำยาลอกสีเหล็ก
หลังจากลอกสีแล้วให้ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมดก่อน ล้างทำความสะอาดตากให้แห้ง
จากนั้นก็ทาสีรองพื้นกันสนิม หรือถ้าสีที่ใช้มีส่วนผสมกันสนิมอยู่แล้วก็ไม่ต้องทาสีกันสนิม
แต่ทาสีจริงได้เลย ทาอย่างน้อยสองรอบแล้วทิ้งไว้มากกว่า 24 ชั่วโมงเพราะสีน้ำมันจะแห้งยาก
และมีกลิ่นเหม็นมาก

รอยร้าวต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากโครงสร้าง
จะต้องทำการเซาะให้รอยแตกนั้นกว้างและลึกประมาณ 1 ซม. แล้วใช้อะคลีลิคอุดรอยร้าว
ซึ่งเป็นหลอดเวลาบีบจะออกเป็นครีมสีขาว บีบอุดรอยที่เซาะแล้วลูบให้เรียบไปตามแนวผนัง
จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วจึงทาสีรองพื้นทับแล้วทาสีจริง เท่านี้รอยร้าวก็ถูกปกปิดแล้ว

สีบางชนิดอาจช่วยปกปิดได้แต่ก็จะไม่มิดถ้าไม่มีการอุดฉาบเสียก่อน
ถ้าฉาบทับอย่างเดียว หลังทาสีทับก็จะเห็นร่องรอย ฉะนั้นทำการอุดรอยร้าวก่อนทาสีจะได้ผลที่สุด



สีทาบ้านกับการเลือกใช้

เชื่อว่าสีของบ้านนั้นก็มีความสำคัญมากทีเดียว แต่ละคนก็มีความชื่นชอบสีที่ต่างกันไป
เราลองมาดูวิธีการเลือกสีให้บ้านเรากันดีกว่าค่ะ

ลักษณะทั่วไปของสีนั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ ๆ

1. สีน้ำมันหรือสีเคลือบเงา
ประเภทนี้ต้องใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวผสมทำให้เจือจาง สำหรับทางานไม้หรือโลหะ
เพื่อความเงางามและทำความสะอาดได้ง่าย
สีประเภทนี้ถ้านำไปทาผิวปูนหรือพวกผิวไม้เทียม จะไม่ติดหรือติดบ้างแต่จะหลุดออกได้ง่าย

2. สีพลาสติกหรือสีอะครีลิค
สีนี้จะใช้น้ำเป็นตัวผสมทำให้เจือจาง เมื่อสีแห้งสีจะไม่เจือจางหรือหลุดลอกไปตามน้ำ
สีชนิดนี้เหมาะกับพื้นปูนและพื้นคอนกรีตทั่วไป รวมทั้งกระเบื้องแผ่นเรียบด้วย

ลักษณะการใช้งานของสีทั้ง 2 ประเภท คือการใช้ทาภายในและภายนอก
คุณภาพความคงทนของสีก็ขึ้นอยู่กับราคาที่ต่างกันออกไปด้วย
แต่ละยี่ห้อก็จะมีหลายสีหลายเกรดต่างกันไปด้วย เช่น เกรด A B C ก็จะมีส่วนผสมของเม็ดสีอะครีลิค
ลดหลั่นกันลงมาตามเกรด รวมทั้งอายุการใช้งานก็ลดหลั่นกันลงมาตามกันด้วย

การเปรียบเทียบสีว่ายี่ห้อไหนดีกว่ากันนั้นต้องเอาเกรดต่าง ๆ มาเทียบกัน
การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของเรา


คิดว่าเรื่องของสีทาบ้าน คงพอเข้าใจกันบ้างแล้วในการเลือกใช้
ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วเรื่องการหาสีให้บ้านเรา

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม

ความรู้เกี่ยวกับสีน้ำ

  ประวัติสีน้ำ
          การระบายสีน้ำเป็นที่ยอมรับมาช้านานว่าเป็นเทคนิคที่น่าทึ่งเทคนิคหนี่ง จัดเป็นสีสูตรน้ำชนิดแรกที่คนทั่วไปรู้จัก สีกลุ่มแรกเป็นการผสมของน้ำและดิน ซึ่งต่อมาอาราบิคกัมได้นำมาใช้ร่วมเพื่อช่วยให้สีไม่ซีดจางลง สีน้ำเริ่มมีความสำคัญใน ค.ศ.ที่ 19 เมื่อผลงานของศิลปินก้องโลก เช่น ซีซาน เทอเนอร์ หรือ ดูฟิล ปรากฎสู่สาธารณะชน แม้กระทั่งปัจจุบันส่วนผสมของสียังคงเดิม 


 
 
วัสดุ
พู่กัน: พู่กันที่ดีควรมีคุณสมบัติที่อุ้มน้ำดีไม่ว่จะเป็นขนสัตว์หรือขนสังเคราะห์ ใช้พู่กันกลมสำหรับงานละเอียดและเส้นบาง ใช้พู่กันแบนในกรณีระบายพื้นกว้าง (ขนาดพู่กันให้เลือกตามพื้นที่ที่ต้องการระบาย)
กระดาษ: สีน้ำจะเด่นเมื่อได้ระบายบนกระดาษขาว 300 กรัม เป็นความหนาที่เหมาะสมในการระบายสีน้ำ ทั้งนี้เพราะไม่ต้องขึงและเสียรูปเมื่อถูกน้ำ อย่างไรก็ตามหากใช้กระดาษที่บางกว่า ขอบแนะนำให้ขึงด้วยคลิบหนีบเพื่อป้องกันไม่ให้เสียรูปทรง หรือย่น
ดินสอ: คุณอาจต้องใช้ดินสอ HB ในการสเก็ซก่อนระบายสี การใช้ดินสอควรกดเบา ๆ เพื่อให้ได้เส้นที่อ่อนนุ่ม อย่าลืมสีน้ำเป็นสีโปร่งใส เส้นที่คุณร่างไม่ควรปรากฏให้เห็นหลังระบาย
 
 
 
 การผสมสี
ขอแนะนำให้เริ่มจากสีที่อ่อนที่สุดก่อน ตามด้วยสีที่เข้ม โดยใช้ชั้นของสีที่ระบายแต่ละชั้นบางพอที่จะให้แสงผ่านเข้าไปยังกระดาษ วิธีการคือ: ละลายสีด้วยน้ำที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้สีน้ำที่ครอบคลุมได้กว้าง อย่าผสมสีมากกว่า 2 สี ตลอดจนสีที่ตัดกัน เพราะจะทำให้สีทึมหรือสีเน่า การระบายสีน้ำควรระบายด้วยความอ่อนนุ่มและเล่นแสง

 
 
Wash
ควรเริ่มต้นด้วยการระบายน้ำสีพื้นก่อน หรือ Wash วิธีทำคือ ให้เจือจางลงบนจานสีผสมกับน้ำจำนวนมาก เตรียมสีให้มากพอที่จะระบายได้ทั่ว ทำให้กระดาษเปียกด้วยฟองน้ำ ถ้ากระดาษมีเงา หมายความว่าใส่น้ำมากไป ซับให้แห้งด้วยผ้าแห้งกระดาษควรอยู่ในสภาพที่ชื้นหมาด ๆ ระบายสีด้วยพู่กัน  


สื่อผสมที่ใช้กับน้ำ
Graphigum (กราฟฟิคกัม): เป็นของเหลวที่ใช้ป้ายบริเวณ ที่ไม่ต้องการให้สีถูกกระดาษเมื่อเสร็จ เมื่อแห้งให้ลอกกราฟฟิคกัมออก จะได้พื้นที่ปิดจะเป็นสีขาวของกระดาษควรระบายกราฟฟิคกัมด้วยพู่กันเสมอ กราฟฟิคกัม มีให้เลือกทั้งขนาด 75 และ 250 มล.
OX Gall: ใช้สำหรับช่วยให้น้ำยึดเกาะกระดาษได้ง่ายขึ้น วิธีใช้ให้ละลายน้ำก่อนระบายบนกระดาษ OX GALL มีให้เลือกในขวด 75, 250, 500 และ 1000 มล.
Colourless varnish: ทำจากเรซินสังเคราะห์ วานิชไร้สีชนิดนี้ช่วยไม่ให้สีแตกกระจายและไม่เหลือง ช่วยให้สีคงไว้ซึ่งความสดใสและโปร่งแสง ขนาดให้เลือกคือ 75 มล.
 
 

จบเเล้วคับบบ!! ว่าเเล้วก็มาติดตามเนื้อหาใน Blog กันเลยครับผม คับผม คับผมมมม!!


สอบถามความรู้เพิ่มเติมเรื่องสีได้อีกที่ zeed.disgest@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำคับผมมม